การบินไทยทะยานสู่ระดับความสูงใหม่ ขับเคลื่อนดิจิทัลทรานสฟอร์เมชั่นและการเติบโตด้วยแพลตฟอร์มเครือข่าย AI-Native จาก Juniper Networks
สนใจผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
Download the Document here : thai-airways-case-study
Blog /
Digitech One และ Juniper Networks ผู้นำด้านระบบเครือข่ายที่สร้างและขับเคลื่อนโดย AI (AI-Native Networking) ที่มีความปลอดภัยสูง ประกาศว่า การบินไทยได้ปรับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยให้ทันสมัย โดยได้ติดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่าย AI-Nativeของ Juniper เพื่อส่งมอบข้อมูลที่แม่นยำ ให้การตอบสนองแบบเรียลไทม์ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับบริการแบบใช้สายและไร้สายที่น่าเชื่อถือ วัดผลได้ และปลอดภัย การอัปเกรดใหม่นี้ทำให้การบินไทยมีระบบการจัดการต่างๆที่เรียบง่ายขึ้น ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และเสถียรมากขึ้น เพื่อยกระดับประสบการณ์ใช้งานในภาพรวมทั้งของผู้ให้บริการไปจนถึงผู้ใช้บริการ
ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในการค้นหาเที่ยวบิน จองและจัดการเที่ยวบินออนไลน์ สายการบินได้เริ่มการทรานสฟอร์มทางดิจิทัลโดยเลือกใช้ Juniper เพื่อยกเครื่องและอัปเกรดโซลูชันเครือข่ายของสายการบินใหม่ทั้งหมด และกลายเป็นองค์กรแรกในประเทศไทยที่ติดตั้ง Wi-Fi 6E โดยใช้แอกเซสพอยต์ Juniper AP45 พร้อมกับสวิตช์อีเธอร์เน็ต Juniper EX Series ในเครือข่ายหลักและเครือข่ายสำหรับกระจายและเข้าถึงข้อมูล
การติดตั้งใช้งานนี้ขับเคลื่อนโดย Mist AI™ ซึ่งใช้ AIOps ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะทาง ได้รับการฝึกอบรมด้วยข้อมูลเชิงลึกและการพัฒนาทางวิทยาการข้อมูลนานกว่าเก้าปี เพื่อมอบข้อมูลเชิงลึกที่สมบูรณ์เกี่ยวกับประสบการณ์ผู้ใช้และการแก้ไขข้อผิดพลาดเชิงรุก ที่จะช่วยลดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายได้มากถึง 90% โดยในการประสานการจัดการแบบ end-to-end ของเครือข่ายแบบมีสายและไร้สายของการบินไทยให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ระบบคลาวด์เซอร์วิส Juniper Mist Wired และ Wireless Assurance ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของระบบที่มีความสำคัญทางธุรกิจ และลดการทำงานของมนุษย์ให้น้อยที่สุด และเพิ่มความมั่นใจว่าในทุกการเชื่อมต่อนั้นจะมีความเสถียร สามารถวัดผลได้ และมีความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ ผู้ใช้ แอปพลิเคชัน และทรัพย์สินทุกรูปแบบ
นอกจากนี้ Marvis Virtual Network Assistant ยังช่วยให้ทีมไอทีของสายการบินสามารถตรวจพบและแก้ไขปัญหาเครือข่ายผ่านอินเทอร์เฟซในรูปแบบการสนทนาได้อย่างราบรื่น โดยสามารถระบุต้นเหตุของปัญหา ให้ข้อมูลอินไซต์เชิงรุก และแนะนำการดำเนินการที่เหมาะสม ส่งผลให้ปัญหาและข้อร้องเรียนของผู้ใช้ลดลงอย่างมากหลังจากการอัปเกรดใหม่ และทำให้เวลาในการดำเนินงานด้านเครือข่ายของการบินไทยลดลง ช่วยให้สายการบินสามารถมุ่งเน้นไปที่การให้บริการและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า
ในฐานะสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยและเป็นศูนย์กลางการบินและประตูเชื่อมต่อสู่ภูมิภาคเอเชีย การบินไทยได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในสายการบินชั้นนำของโลกอย่างต่อเนื่อง จากการให้บริการที่เป็นเลิศจากเครือข่ายทั่วโลก เพื่อตอกย้ำชื่อเสียงที่มีมาอย่างยาวนานพร้อมกับตอบสนองความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังการแพร่ระบาด สายการบินได้ตระหนักว่าเครือข่ายองค์กรเป็นองค์ประกอบเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
เครือข่ายใหม่จาก Juniper ช่วยเพิ่มศักยภาพการทำงานให้กับทีมไอทีของการบินไทยให้สามารถดำเนินการและมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้ใช้และผู้ปฏิบัติงานรวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่เรากำลังมองความเป็นไปได้ในการขยายการใช้งานโซลูชันของจูนิเปอร์ไปยังสนามบินนานาชาติหลักสองแห่งของประเทศไทย ซึ่งอาจมีขนาดการใช้งานที่ใหญ่กว่าที่สำนักงานใหญ่ในปัจจุบัน
สนใจผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
Download the Document here : thai-airways-case-study
News, News, News, News, News, News, News /
โลกยุคดิจิทัลหลังผ่านวิกฤต COVID-19 เปิดโอกาสให้พนักงานทำงานจากภายนอกองค์กรและใช้อุปกรณ์ของตัวเอง (BYOD) มากขึ้น การบริหารจัดการอุปกรณ์ที่มีความหลากหลาย ทั้งอุปกรณ์พกพา คอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ และเซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์ให้เป็นไปตามนโยบายและข้อบังคับของบริษัท โดยเฉพาะการจัดการ Software License และ Security Patch กลายเป็นความท้าทายสำหรับหลายๆ องค์กร
Digitech One ผู้จัดจำหน่ายโซลูชัน Enterprise Network & Security ในเครือของ SVOA จึงได้จับมือกับ HCL Software ให้บริการ BigFix Unified Endpoint Management ที่สามารถบริหารจัดการ Desktop, Laptop, Server และ Mobile ได้อย่างครบวงจร ผสานด้วยเทคโนโลยี Generative AI อัจฉริยะ ครอบคลุมทั้งเรื่อง Patch, Software และ Security Compliance ไม่ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะอยู่ที่ On-premises, Virtual, Cloud หรือ Work from Home ก็ตาม
รู้จัก BigFix Unified Endpoint Management จาก HCL Software
HCL Software เป็นบริษัทสัญชาติอินเดียที่ดำเนินธุรกิจซอฟต์แวร์ในเครือ HCL Technologies มีสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐฯ ให้บริการโซลูชันด้าน Business & Industry Applications, AI & Intelligent Operations, Total Experience, Data & Analytics และ Cybersecurity ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการกว่า 20,000 รายจากทั่วโลก พนักงานมากกว่า 7,800 คน และซอฟต์แวร์มากกว่า 80 สายการผลิต สร้างรายได้ในปีที่ผ่านมาสูงถึง 50,000 ล้านบาท
ปี 2019 HCL Software ได้เข้าซื้อซอฟต์แวร์ 8 รายการจาก IBM เพื่อมาพัฒนาต่อยอดให้ตอบรับกับความต้องการของลูกค้าในโลกยุคดิจิทัลมากขึ้น หนึ่งในนั้น คือ BigFix ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Unified Endpoint Management (UEM) ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบ IT Operations และ Security สามารถค้นหา บริหารจัดการ และรักษาความมั่นคงปลอดภัยของอุปกรณ์ทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์แบบใด ใช้ระบบปฏิบัติการอะไร หรืออยู่ที่ไหนก็ตาม
จุดเด่นของ BigFix UEM คือ สามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ได้อย่างครบวงจร ทั้งการทำ Patch Management, Software Asset Management, Compliance Management และ Security Remediation ช่วยให้องค์กรสามารถค้นหาและแก้ไขปัญหาที่พบบนอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่มีอัตราความสำเร็จในการอัปเดตแพตช์ครั้งแรกสูงถึง 98%
สามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น Desktop, Laptop, Server หรือ Mobile ตั้งแต่การค้นหาอุปกรณ์ขององค์กรทั้งหมด ตั้งค่าระบบปฏิบัติการเบื้องต้น สร้างโปรไฟล์การใช้งานต่างๆ ติดตั้งซอฟต์แวร์ อัปเดตแพตช์ล่าสุด รวมถึงการเสริมแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัย ไปจนถึงการลบข้อมูลทั้งหมดเมื่ออุปกรณ์สูญหายหรือเลิกใช้งาน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะอยู่ในออฟฟิศ นอกสถานที่ ภายใน Data Center หรือบน Cloud ก็ตาม โดยรองรับระบบปฏิบัติการมากกว่า 100 ประเภททั้ง Windows, macOS, IBM AIX, HP-UX, Solaris, RHEL, SUSE, VMware ESX Server, CentOS, Debian, Ubuntu รวมถึง iOS และ Android
HCL BigFix มีสถาปัตยกรรมแบบ Client-Server โดยเซิร์ฟเวอร์ศูนย์กลางของ HCL BigFix 1 เครื่อง สามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ได้สูงสุดถึง 300,000 เครื่อง ผ่านทาง Agent ที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก (1 Process) ใช้หน่วยความจำน้อยกว่า 25 MB และ CPU น้อยกว่า 2% ที่สำคัญ คือ Agent สามารถตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ บนอุปกรณ์ได้แบบเรียลไทม์ ไม่จำเป็นต้องรอรอบการสแกนรายวันหรือรายสัปดาห์เหมือนผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่นๆ
นอกจากนี้ HCL BigFix ยังสามารถติดตามการใช้ซอฟต์แวร์เชิงธุรกิจบนอุปกรณ์ต่างๆ ขององค์กรได้มากกว่า 1,000 รายการ เช่น Microsoft, Oracle, SAP, Adobe, VMware เพื่อตรวจสอบว่ามีการใช้ License ของซอฟต์แวร์ในปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ ถ้าพบอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งซอฟต์แวร์มากเกินความจำเป็นหรือไม่มีการใช้งาน ก็สามารถถอนการติดตั้งเพื่อลดค่าใช้จ่ายและการสูญเสียทรัพยากรเครื่องโดยใช่เหตุลงได้
ในด้านของความมั่นคงปลอดภัย HCL BigFix สามารถตรวจสอบการตั้งค่าของอุปกรณ์ว่าเป็นไปตาม Security Baseline ที่มีมากกว่า 38,000 รายงาน ตามมาตรฐานสากลจาก CIS, DISA STIG, USGCB, ISO, HIPAA หรือ PCI DSS ได้ รวมถึงสามารถสร้างรายการตรวจสอบของตนเองตามนโยบายของบริษัทหรือหน่วยงานกำกับดูแล ในกรณีที่พบความไม่สอดคล้อง HCL BigFix จะทำการแจ้งเตือน พร้อมให้คำแนะนำที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทั้งหมดขององค์กรจะมีมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
HCL BigFix ยังสามารถทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ Vulnerability Management ชั้นนำอย่าง Tenable, Qualys และ Rapid 7 เพื่อนำผลลัพธ์การตรวจสอบช่องโหว่มาค้นหาและติดตั้ง Security Patch ที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ลดความล่าช้าในการอัปเดตแพตช์และความเสี่ยงการถูกเจาะช่องโหว่จากเหล่าอาชญากรไซเบอร์
HCL BigFix ให้บริการ AI-powered Employee eXperience (AEX) ซึ่งเป็น Generative AI Chatbot สำหรับทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย IT Help Desk ในการตอบคำถามและแก้ปัญหาให้แก่ผู้ใช้ ทั้งด้านการตั้งค่าหรือการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ด้วย Use Case เริ่มต้นที่มีมาให้มากกว่า 600 รูปแบบ ผู้ใช้สามารถพิมพ์แชตหรือใช้เสียงในการสอบถามเหมือนที่ใช้คุยกับมนุษย์ปกติได้เลย AEX ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Self-Heal ที่ช่วยแก้ปัญหาระบบและแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์ของผู้ใช้ให้โดยอัตโนมัติ ยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้งาน ในขณะที่ลดภาระของ IT Help Desk ที่ต้องรับเรื่องจากผู้ใช้ลง
อีกหนึ่งบริการ Generative AI คือ Runbook AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ดูแลระบบในการจัดการงานที่ต้องทำซ้ำๆ เป็นประจำ รวมถึง Ticket/Case พื้นฐานที่พบบ่อย เช่น รีเซ็ตรหัสผ่าน รีบูตเซิร์ฟเวอร์ เพิ่ม/ลบบัญชีผู้ใช้ สำรองข้อมูล เป็นต้น ซึ่งงานเหล่านี้มักมีขั้นตอนการทำงานเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว สามารถจัดทำเป็น Runbook เพื่อดำเนินการโดยอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาหรือมีการเปิด Ticket/Case ซึ่งครอบคลุมมากกว่า 350 Use Cases บน Windows Server, Linux Server, Database Server และ Active Directory นอกจากนี้ Runbook AI ยังสามารถเรียนรู้ Use Case ใหม่ๆ จาก Ticket/Case ที่เปิดเข้ามาได้ ช่วยให้ในอนาคตสามารถแก้ปัญหาได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องให้ผู้ดูแลระบบลงมาจัดการด้วยตัวเองอีก ลดภาระของผู้ดูแลระบบลงได้สูงสุดถึง 75%
จุดเด่นของ HCL BigFix คือให้บริการครอบคลุมทั้ง Patch Management, Endpoint Management, Software Asset Management และ Security Compliance & Remediation ที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างบูรณาการภายในแพลตฟอร์มเดียว ต่างจากคู่แข่งในท้องตลาดที่ให้บริการเพียงบางส่วน ทั้งยังติดตั้งใช้งานได้ทั้งแบบ On-premises และ Cloud ในขณะที่โมเดล License ก็สามารถเลือกได้ทั้งแบบ Perpetual License หรือ Subscription เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นและให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและความพึงพอใจของผู้ใช้งาน
Digitech One ในเครือ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายโซลูชันของ HCL Software รวมถึง BigFix Unified Endpoint Management อย่างเป็นทางการในประเทศไทย มีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาและให้บริการโซลูชันด้าน Endpoint & Patch Management และ Cybersecurity แก่องค์กรธุรกิจมานานกว่า 10 ปี พร้อมดูแลเหล่าพาร์ทเนอร์และลูกค้าตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการ ออกแบบและติดตั้ง อบรมการใช้งาน ไปจนถึงการสนับสนุนหลังการขาย เพื่อให้การบริหารจัดการอุปกรณ์ภายในองค์กรเป็นเรื่องง่าย ลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยขององค์กร รวมถึงภาระของผู้ดูแลระบบจากการใช้เทคโนโลยี Generative AI เข้ามาช่วยสนับสนุน
DIGITECH ONE ร่วมกับ I-Sprint จัดงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ “Building Trust in The Digital World” โดยได้รับเกียรติจากคุณศศิมา อ่อมน้อม เป็นผู้กล่าวเปิดงาน พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจาก I-Sprint มาร่วมแบ่งปันความรู้ในหัวข้อที่สำคัญเกี่ยวกับโซลูชันความปลอดภัยไซเบอร์แบบ End-to-End ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในโลกดิจิทัล
กิจกรรมภายในงานนำโดย คุณ ศศิมา อ่อมน้อม Deputy General Manager จาก Digitech One กล่าวเปิดงานและต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ในยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความไว้วางใจในโลกดิจิทัล โดยเฉพาะกับองค์กรและธุรกิจที่ต้องการเพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัยให้แก่ข้อมูลของตนและองค์กร
พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจาก I-Sprint นำทีมโดย คุณ ศิลป์ชัย นันทโชคเกียรติ์ ( Business Development & Channel Manager ) , คุณ ธนณัฏฐ์ สมบัติเกษมกุลSenior Sales Manager และ คุณ ณัฐพงศ์ วงศ์สว่าง ( Senior Presales Consultant ) จาก I-Sprint Thailand มาร่วมแบ่งปันความรู้ในหัวข้อที่สำคัญเกี่ยวกับโซลูชันความปลอดภัยไซเบอร์แบบ End-to-End ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในโลกดิจิทัล รวมถึงโซลูชันที่ล้ำสมัยน่าสนใจของ I-Sprint ที่ครอบคลุมทุกมิติของการรักษาความปลอดภัยข้อมูลออนไลน์ เริ่มจากเทคโนโลยี Digital Identity ที่ช่วยระบุตัวตนดิจิทัลได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย รวมไปถึง YESsafe AppProtect+ ระบบป้องกันแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ที่เกิดขึ้นในแอปพลิเคชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว Threat Detection Platform (SecAI) แพลตฟอร์มตรวจจับภัยคุกคามที่พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในระบบได้อย่างรวดเร็ว
งานสัมมนานี้จบลงด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยในอนาคต ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายที่มีคุณค่าแก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจในวงการเทคโนโลยี
News /
ในยุคแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว Digitech One, Codium และ Entrust ได้จัดงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ “What’s Coming Up in the Quantum Era? ไขรหัสลับแห่งอนาคต Quantum Technology และ Post Quantum Cryptography” เพื่ออัปเดตข้อมูลเทคโนโลยีควอนตัมและเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยในยุคควอนตัม งานนี้มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจแนวโน้มทางเทคโนโลยีและการเข้ารหัสหลังยุคควอนตัม (PQC) ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต
โดยมีหัวข้อสำคัญที่ครอบคลุม
ภายในงานได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วราภรณ์ พรหมวิกร, ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) มาพูดคุยในมุมมองคำแนะนำจากภาครัฐ เพื่อให้ตามทันการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจในยุคควอนตัม
และได้รับเกียรติจากวิทยากร ดร.จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์, CEO ของ Quantum Technology Foundation (Thailand) ที่มาแชร์ความคิดเห็นด้านเทคนิค Quantum ความแตกต่างจากมาตรฐาน การเข้ารหัสในปัจจุบันอย่างไร และเหตุใดมันจึงสำคัญต่อความปลอดภัยในอนาคต?
และได้รับเกียรติจากวิทยากร คุณเจตสิก อนันตคุณูปกร, Senior Technical Sales Consultant, Entrust ที่มาแบ่งปัน มุมมองจากผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยให้ทันรับมือเตรียมตัวหรือปรับกลยุทธ์ ให้เข้ากับเทคโนโลยีควอนตัมในอนาคต
นอกจากนี้ Digitech ร่วมออกบูธแสดงสินค้า Entrust นำโดยคุณ วัชระ แม้นจริง (Watchara Manjing) ตำแหน่ง Senior Network & Security Manager จาก Digitech One ร่วมนำเสนอ โซลูชัน Entrust ด้านความปลอดภัยที่ทันสมัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านCyber security ที่ไม่ควรมองข้าม อาทิเช่น Post-Quantum Cryptography , Zero Trust Architecture ,Identity and Access Management (IAM) ,Hardware Security Modules (HSMs) และ Cloud Security and Data Protection อีกทั้งผู้เข้าร่วมงานยังมีโอกาสรับฟังการอภิปรายจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแง่มุม รวมถึงการสนับสนุนจากผู้ให้บริการชั้นนำ ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ยุคควอนตัม
นอกจากนี้ Digitech ร่วมออกบูธแสดงสินค้า Entrust นำโดยคุณ วัชระ แม้นจริง (Watchara Manjing) ตำแหน่ง Senior Network & Security Manager จาก Digitech One ร่วมนำเสนอ โซลูชัน Entrust ด้านความปลอดภัยที่ทันสมัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านCyber security ที่ไม่ควรมองข้าม อาทิเช่น Post-Quantum Cryptography , Zero Trust Architecture ,Identity and Access Management (IAM) ,Hardware Security Modules (HSMs) และ Cloud Security and Data Protection อีกทั้งผู้เข้าร่วมงานยังมีโอกาสรับฟังการอภิปรายจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแง่มุม รวมถึงการสนับสนุนจากผู้ให้บริการชั้นนำ ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านความปลอดภัยไซเบอร์ยุคควอนตัม
Digitech One ได้ร่วมมือกับ Juniper Networks และ Fujitsu ในการเข้าร่วมงาน “Fujitsu Tech Day Season 2” ซึ่งจัดขึ้น ณ Fujitsu Thailand Office โดยในงานนี้เปิดโอกาสให้พาร์ทเนอร์ชั้นนำ ได้นำเสนอโซลูชันต่าง ๆ และมีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทีมขาย ทีมพรีเซลส์ และทีมหลังการขายของ Fujitsu
ในงานนี้ Juniper Networks ได้รับเกียรติร่วมบรรยายในหัวข้อที่น่าสนใจ “Juniper’s Networks AI What it is? ” แนะนำผลิตภัณฑ์และโซลูชันเครือข่ายที่ทันสมัยจาก Juniper Networks และอธิบายถึงประโยชน์ของการนำ AI มาใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร รวมถึงการนำเสนอกรณีการใช้งานจริงของโซลูชัน Juniper Networks Mist AI ในองค์กรต่าง ๆ โดย คุณวัชระ แม้นจริง (Watchara Manjing) ตำแหน่ง Senior Network & Security Manager และ คุณภูมิศักดิ์ ไชยทัศนงาม (Poomsak Chaitasanangam) ตำแหน่ง Network Presale จาก Digitech One
งานครั้งนี้สร้างความสนใจและได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้เข้าร่วมงาน โดยเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างพาร์ทเนอร์ทางเทคโนโลยีชั้นนำของ Fujitsu
Digitech One ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก นำเทคโนโลยีอย่าง Juniper, Ivanti, HCL BigFix และ NETAND เข้าร่วมงาน D1 TechXcellence Summit 2024 ภายใต้หัวข้อ “Innovating for a Sustainable Future” มุ่งเน้นการนำนวัตกรรม AI, Cybersecurity และแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) มาปรับใช้ในธุรกิจ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเสริมศักยภาพให้แก่องค์กรในยุคดิจิทัล
ภายในงาน D1 TechXcellence Summit 2024 จะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าในวงการเทคโนโลยีที่จะมาแบ่งปันความรู้และแนวทางใหม่ๆ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จ ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างยั่งยืน ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับแรงบันดาลใจจากการบรรยายและการเสวนาในหัวข้อต่างๆ ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีและความปลอดภัยในธุรกิจยุคใหม่
Juniper ในหัวข้อ “AI-Native Enterprise” โดย Mr. Poomsak Chaitasanangam – Senior Network Consultant ที่จะมาแบ่งปันมุมมองในการนำนวัตกรรม AI เข้ามายกระดับองค์กรสู่ยุค AI-Native
และ Ivanti ในหัวข้อ “Securely and Reliably with Ivanti” โดย Mr. Adisorn Khemwichai – Assistant Security Consulting Manager ที่จะนำเสนอวิธีการเสริมความปลอดภัยและความมั่นคงในระบบไอทีขององค์กร
และ HCL Software ในหัวข้อ “Enhance Your Security Posture with BigFix” โดย Mr. Sarang Rajan – AVP Security, APJ BFSI จาก HCLSoftware ที่จะบรรยายถึงวิธีการเพิ่มความปลอดภัยขององค์กรด้วยโซลูชัน BigFix
รวมถึง NETAND ในหัวข้อ “Optimizing Privileged Access for Compliance with NETAND” โดย Mr. Watchara Manjing -Sr. Network & Security Manager ที่จะอธิบายถึงการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้ในองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านความปลอดภัย
เรียกได้ว่า งานนี้มีผู้เข้าร่วมสนใจเป็นจำนวนมากและถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้บริหารและนักธุรกิจที่ต้องการเข้าใจแนวทางการนำเทคโนโลยี AI และความปลอดภัยในโลกไซเบอร์มาใช้ในการยกระดับองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในยุค เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 Mövenpick BDMS Wellness Resort, กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา
Digitech One ร่วมกับ Juniper Networks และ C&R Information Technology ได้จัดงานสัมมนาครั้งสำคัญภายใต้ชื่องาน “Mart Enterprises: Unveiling AI and Data Center Innovations with Juniper Networks” โดยมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากจากกลุ่มนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยี เมื่อวันอังคารที่ 24 กันยายน 2567 ณ จ. สงขลา อ. หาดใหญ่ ที่ผ่านมา
งานนี้เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนอโซลูชันนล่าสุดของ Juniper Networks โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI Native Enterprise ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการจัดการเครือข่ายด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทันสมัย ผู้เข้าร่วมยังได้สัมผัสประสบการณ์จริงจาก Mist Live Demo ซึ่งแสดงถึงการทำงานของระบบ AI ในการจัดการเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของธุรกิจในยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยีสำหรับการสร้างศูนย์ข้อมูลภายใต้หัวข้อ Building Data Center Fabric with Juniper Apstra ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยจัดการและออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลให้มีความยืดหยุ่นและเสถียรภาพสูง โดยเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจที่กำลังมุ่งสู่การทำงานในยุคของ Big Data และ Cloud Computing
กิจกรรมในครั้งนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการพัฒนาทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสามบริษัท รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างธุรกิจเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในโลกดิจิทัล
งานสัมมนา “Mart Enterprises” ครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าจับตามองในวงการเทคโนโลยี และยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ Digitech One, Juniper Networks และ C&R Information Technology ในการนำเสนอโซลูชันล้ำสมัยเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้
หากลูกค้าที่มีความสนใจสินค้าซอฟต์แวร์และโซลูชั่น สามารถติดต่อได้ที่
บริษัท ดิจิเทค วัน จำกัด
📞 Tel : +66 2686 3000
📧Email :info@digitechone.co.th
🌐https://www.digitechone.co.th
Digitech One เข้าร่วมงาน “KMITL CONNEXT” ซึ่งเป็นโปรแกรมอบรมสำหรับผู้บริหารระดับสูงในอนาคต จัดขึ้นโดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่มีเป้าหมายในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารในองค์กรภาครัฐ องค์กรมหาชน และองค์กรชั้นนำที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้ผู้เข้าร่วมสามารถต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Digitech One นำเสนอเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Juniper, Ivanti, Entrust , i-Sprint , Netand และโซลูชันอื่นอีกมากมายๆ เพื่อเสริมศักยภาพผู้บริหารในการใช้เทคโนโลยี AI และนวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลก พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน
Juniper Mist AI เป็นโซลูชันส่วนสำคัญของแพลตฟอร์ม AI-Native Networking ของ Juniper เพื่อช่วยในการบริหารจัดการและปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่ายแบบไร้สาย (Wi-Fi) และระบบไอทีของธุรกิจ ซึ่ง Mist AI จะเก็บรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ เช่น จุดเข้าใช้งาน (Access Points), สวิตช์, เราเตอร์ และไฟร์วอลล์ เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงเครือข่ายในทุกด้าน ตั้งแต่การเชื่อมต่อของผู้ใช้งานไปจนถึงการทำงานในคลาวด์ โดยระบบนี้จะช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเครือข่ายได้อัตโนมัติ ลดความยุ่งยากในการบริหารจัดการ และสามารถตรวจจับปัญหาได้ล่วงหน้า ทำให้เครือข่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยมีความสามารถที่สำคัญซึ่งส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจ
i-Sprint แนะนำโซลูชันใหม่ SecAI ซึ่งเป็นโซลูชันด้านการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามไซเบอร์ (Threat Detection and Response Solution) โดยอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ โซลูชันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยทีมรักษาความปลอดภัยในองค์กรให้สามารถตรวจจับภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการความปลอดภัยในระบบของทีมรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในองค์กร โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเสริมกระบวนการทำงานของทีมรักษาความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำและทันเวลา
Ivanti Neurons ระบบ Ivanti Neurons for Patch Management อัจฉริยะ ที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถจัดลำดับความสำคัญของการอัปเดต Patch ตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กรนั้นๆ รวมถึงมาตรฐานและข้อบังคับที่องค์กรต้องปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุม
Entrust โซลูชันที่เน้นเรื่องการปกป้องข้อมูลและความปลอดภัยในยุคของการประมวลผลแบบควอนตัม (Quantum Computing) โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงว่าจะสามารถถอดรหัสหรือโจมตีระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ ซึ่งในอนาคตที่เทคโนโลยี Quantum Computing กำลังเข้ามาและ เป็นเป้าหมายสำคัญของ Entrust Quantum คือการมอบความมั่นใจให้กับธุรกิจในเรื่องการปกป้องข้อมูลของพวกเขาในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต
หากลูกค้าที่มีความสนใจสินค้าซอฟต์แวร์และโซลูชั่น สามารถติดต่อได้ที่
บริษัท ดิจิเทค วัน จำกัด
📞 Tel : +66 2686 3000
📧Email :info@digitechone.co.th
🌐https://www.digitechone.co.th
Blog /
ระบบ Patch Management ช่วยให้องค์กรตรวจสอบและติดตามการอัปเดตระบบปฏิบัติการ ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันต่างๆ ได้จากศูนย์กลาง ลดภาระงานของฝ่าย IT ในการติดตั้ง Patch บนอุปกรณ์แต่ละเครื่องทีละเครื่อง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการมีความหลากหลายมากขึ้น และ Patch ถูกปล่อยออกมาบ่อยตามโมเดลการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะอัปเดตทุก Patch ที่ออกมา องค์กรส่วนใหญ่จึงมักเลือกอัปเดตเฉพาะช่องโหว่ที่มีคะแนน CVSS ระดับ Critical เพื่อลด Downtime และรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ
แต่จากการสำรวจพบว่า การอัปเดตเฉพาะช่องโหว่ที่มีคะแนน Critical สามารถป้องกัน Ransomware ได้เพียง 35% ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันภัยคุกคาม เนื่องจากบางช่องโหว่ที่มีคะแนน Critical อาจยังไม่มีการโจมตีจริง ในขณะที่ช่องโหว่ที่มีคะแนนต่ำกว่าอาจมีการโจมตีเกิดขึ้นแล้วและส่งผลกระทบต่อระบบธุรกิจขององค์กร
ดังนั้น การอัปเดต Patch ตามความเสี่ยงจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่า เพื่อให้ครอบคลุมการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นและป้องกันภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Ivanti Neurons for Patch Management เป็นระบบบริหารจัดการ Patch อัจฉริยะที่ช่วยองค์กรตรวจสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบดิจิทัลขององค์กร ระบบนี้มาพร้อมกับ Threat Intelligence ในตัว ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินความรุนแรงของช่องโหว่ใหม่ๆ และตรวจสอบว่าช่องโหว่นั้นมีการโจมตีเกิดขึ้นจริงหรือถูกใช้ในแคมเปญโจมตีโดยแฮ็กเกอร์หรือไม่ รวมถึงพิจารณาผลกระทบต่อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่องค์กรใช้งานอยู่
ด้วยข้อมูลนี้ ฝ่าย IT สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงของช่องโหว่แต่ละจุด และจัดลำดับความสำคัญในการอัปเดต Patch ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ Ivanti Neurons for Patch Management ยังรวบรวมเก็บข้อมูลผลลัพธ์การอัปเดต Patch จากทั่วโลก เพื่อให้ฝ่าย IT ทราบว่า Patch นั้นสามารถอัปเดตได้สำเร็จหรือไม่ แนวโน้มการอัปเดตเป็นอย่างไร และมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหลังการอัปเดตบ้าง ข้อมูลนี้ช่วยให้ฝ่าย IT สามารถประเมินความเสี่ยงของการอัปเดต Patch และวางแผนรับมือกับเหตุไม่คาดฝันล่วงหน้า ทำให้มั่นใจมากขึ้นในการอัปเดต Patch ในแต่ละรอบ
Ivanti Neurons for Patch Management ช่วยให้การบริหารจัดการ Patch ทั้งหมดทำได้ในที่เดียวผ่านระบบ Cloud โดยไม่ต้องลงทุนซื้อฮาร์ดแวร์หรือติดตั้งซอฟต์แวร์ใดๆ บนเซิร์ฟเวอร์ขององค์กร Ivanti จะอัปเดตฐานข้อมูล Patch และฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้โดยอัตโนมัติ สำหรับอุปกรณ์ในเครือข่าย เพียงติดตั้ง Agent ซึ่งรองรับทั้ง Windows และ Mac ก็สามารถกำหนดนโยบาย ตรวจสอบ สั่งอัปเดต Patch และติดตามผลลัพธ์ได้ทันที
อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นของ Ivanti Neurons for Patch Management คือการติดตามสถานะ การอัปเดต Patch ของอุปกรณ์ในเครือข่ายได้อย่างครอบคลุม พร้อมระบุความเสี่ยงจาก Patch ที่ยังไม่ได้อัปเดต โดยจะแสดงผลบน Dashboard ที่เข้าใจง่าย ช่วยให้ฝ่าย IT ทราบได้รวดเร็วว่าอุปกรณ์ใดเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและต้องอัปเดต Patch ใดบ้าง
Ivanti Neurons for Patch Management เป็นบริการบริหารจัดการ Patch ที่ช่วยองค์กรตรวจสอบและอัปเดตซอฟต์แวร์ รวมถึงระบบปฏิบัติการต่างๆ ในเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริการนี้ทำงานผ่านระบบ Cloud ทำให้ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมในองค์กร และ Ivanti จะดูแลการอัปเดตฐานข้อมูล Patch และฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้โดยอัตโนมัติ
บริการนี้ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการ Patch ได้จากที่เดียว ลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี และเพิ่มความมั่นใจในการอัปเดตระบบดิจิทัลต่างๆ ขององค์กร
การใช้ Patch Management มีข้อดีหลายประการที่ช่วยเสริมความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบดิจิทัลขององค์กร ดังนี้:
ดังนั้น การบริหารจัดการ Patch เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้องค์กรรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบดิจิทัล ด้วยการอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตีและป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น จากการใช้ระบบ Patch Management เช่น Ivanti Neurons for Patch Management องค์กรสามารถเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการโจมตี ลด Downtime และปรับปรุงการทำงานของฝ่าย IT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การจัดการ Patch ยังช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ อย่างครบถ้วน มองเห็นสถานะ การอัปเดตของอุปกรณ์ในเครือข่ายได้ชัดเจน และช่วยประหยัดต้นทุนจากการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยความสามารถในการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างลึกซึ้ง การบริหารจัดการ Patch จึงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการปกป้องระบบดิจิทัลและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
การลงทุนในระบบ Patch Management จึงไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบ IT ขององค์กร และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
สนใจผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
บริษัท Digitech One ร่วมกับ iSprint ได้จัดอบรมแนะนำโซลูชันใหม่ “ SecAI ซึ่งเป็นโซลูชันด้านการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามไซเบอร์ (Threat Detection and Response Solution) ” ที่ออกแบบมาเพื่อลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในองค์กร โดยโซลูชัน SecAI สามารถตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มการป้องกันความเสี่ยงทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การจัดอบรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ในองค์กร ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมที่เชี่ยวชาญจากทีม Digitech One ได้มีโอกาสทดสอบการทำงานของ SecAI รวมถึงเรียนรู้วิธีการนำโซลูชันนี้ไปปรับใช้ในระบบขององค์กรเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ทาง Digitect One และ iSprint ให้ความสำคัญของการป้องกันภัยคุกคามอย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อว่า SecAI จะช่วยให้องค์กรของคุณได้พัฒนากระบวนการรักษาความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
หากลูกค้าที่มีความสนใจสินค้าซอฟต์แวร์และโซลูชั่น สามารถติดต่อได้ที่
บริษัท ดิจิเทค วัน จำกัด
📞 Tel : +66 2686 3000
📧Email :info@digitechone.co.th
🌐https://www.digitechone.co.th